ความท้าทาย “ส่งออกไทย”ครึ่งปีหลัง จับตาปัจจัยเสี่ยงฉุดส่งออกไทยวืดเป้า

05 สิงหาคม 2567
ความท้าทาย “ส่งออกไทย”ครึ่งปีหลัง จับตาปัจจัยเสี่ยงฉุดส่งออกไทยวืดเป้า
ส่งออกไทยครึ่งปีแรกโต 2 %  หวังครึ่งปีหลังขับเคลื่อนต่อเนื่อง สู่เป้าหมายทั้งปี ขยายตัว 2 % จับตาปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามอิสราเอล-ฮามาส เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ปัจจัยเสี่ยงฉุดส่งออกไทยวืดเป้า

“การส่งออก” ของไทยในเดือน มิ.ย.67 กลับมาติดลบ 0.3 % มูลค่า 24,796 ล้านดอลลาร์ หลังจากเป็นบวก 2 เดือนติดต่อกัน โดยสาเหตุหลักมาจากสินค้าผลไม้เข้าสู่ช่วงท้ายฤดูกาล ผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยลง รถยนต์สันดาปลดลง แต่หากดูภาพรวมการส่งออก 6 เดือนหรือครึ่งปีแรกของปี 67 ยังขยายตัวได้ 2 % มูลค่า 145,290 ล้านดอลลาร์ ถือว่าทำได้ดี ท่ามกลางปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปี โดยเฉพาะปัญหาค่าระวางเรือที่กลับพุ่งสูง 3-4 เท่า อีกครั้งจากปัญหาทะเลแดง

สำหรับการส่งออกในครึ่งปีหลังกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน ยังมีความมั่นใจว่า การส่งออกของไทยยังขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะสามารถทำให้การส่งออกไทยทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2 % โดยช่วงที่เหลือส่งออกได้เฉลี่ยเดือนละ22,973ล้านดอลลาร์ ก็โตได้ 1% แล้ว แต่ถ้าได้ถึงเดือนละ 24,248 ล้านดอลลาร์ ก็จะโตได้ 2%

อย่างไรก็ตามการส่งออกในครึ่งปีหลังยังคงมีอุปสรรคท้าทายรออยู่ข้างหน้า แม้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.2%ส่งผลให้กำลังซื้อ และความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร รวมทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลที่สนับสนุนความต้องการของสินค้า ซึ่งในช่วงที่เหลือ 6 เดือน การส่งออกของไทยจะเป็นอย่างไรยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเฝ้าติดตาม

ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ยังเป็นความเสี่ยงต่อการค้าโลกและการส่งออกของไทย ยังคงเป็นเรื่องของ “ปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์” ที่ยังคงยืดเยื้อแต่ไม่ได้ขยายวงกว้างในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ล่าสุดเหตุการณ์หัวหน้ากลุ่มฮามาส ถูกลอบสังหารอาจทำให้สงครามอิสราเอล-ฮามาส  ถูกยกระดับสู่ความรุนแรงและอาจลามขยายวงกว้างไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลางได้ แน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และการค้าของประเทศไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่น ที่เห็นชัดคือ ปัญหาค่าระวางเรือสูงอาจจะกลับมาอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลัง

รวมทั้งยังต้องจับตาการ “เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ” ซึ่งจะเป็นตัวกุมทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจโลก เพราะสหรัฐเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก โดยสหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มูลค่า 27.36 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2566 คิดเป็นสัดส่วน 25.95 % ของ GDP โลก และมีรายได้ต่อหัวสูงถึง 81,695.2 ดอลลาร์

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ประเมินว่า ไม่ว่าใคร พรรคไหน ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจ การลงทุนและการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะไทย เพราะสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 และเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกการส่งออกของไทยไปสหรัฐขยายตัวถึง 11.2 %

นอกจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯแล้วยังต้องจับตาการเลือกตั้งในหลายประเทศที่สร้างความไม่แน่นอนทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอท่าทีนโยบายของรัฐบาลใหม่ด้วย และยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจคู่ค้าในบางประเทศที่ฟื้นตัวค่อนข้างล่าช้า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน การตั้งกำแพงภาษีสินค้าระหว่างกันและชาติพันธมิตร อาจส่งผลกระทบต่อระบบการค้าโลกรวมถึงการค้าระหว่างของไทย

จากปัจจัยเสี่ยงทำให้เศรษฐกิจการค้าโลกในครึ่งปีหลัง ยังมีทิศทางและโมเมนตัมที่ไม่แน่นอนสูง ดังนั้น “ส่งออก”ไทยในครึ่งปีหลังยังคงน่าห่วง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนจะต้องจับมือร่วมกันผ่าทางตันพาส่งออกไทยสู่เป้าหมายขยายตัวทั้งปี 2 %


แหล่งที่มา : กรุงเทพธรุกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.